วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

นกขุนทอง

  นกขุนทอง หรือ นกเอี้ยงคำ เป็นนกในวงศ์นกเอี้ยงและนกกิ้งโครง (Sturnidae) มีถิ่นอาศัยอยู่ทั่วไปในเอเชียใต้และเอเชียอาคเนย์ มีความสามารถเลียนเสียงมนุษย์ได้เหมือนนกแก้วจึงนิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงกันสูง

ลักษณะทั่วไป

นกขุนทองมีความยาวเฉลี่ยประมาณ 29 เซนติเมตร ลำตัวป้อมสีดำ หางสั้น ปีกแหลมยาว เท้าแข็งแรง มีเหนียง คือ แผ่นหนังสีเหลืองอมส้มคลุมทั่วท้ายทอยและเหนียงสีเหลืองแดงสดใต้ตา ขนสีดำเหลือบเขียว มีเงาสีม่วงบริเวนหัวและคอ มีสีขาวแซมใต้ปีก ปากสีแดงส้ม ขาสีเหลืองสด ทั้งตัวผู้และตัวเมียมีลักษณะคล้ายกัน

การกระจายพันธุ์และถิ่นอาศัย

ถิ่นแพร่พันธุ์หลักของนกขุนทองพบได้ในบริเวณโคนเทือกเขาหิมาลัย ใกล้เขตแดนอินเดีย,เนปาลและภูฎาน 
แต่พบได้ในศรีลังกา,พม่า,ไทย,ลาว,กัมพูชา,เวียดนาม,สุมาตรา,อินโดนีเซีย และบอร์เนียง และถูกนำเข้าไปสหรัฐอเมริกาด้วย
นกขุนทองชอบอาศัยอยู่ในป่าที่มีความชื้น ที่ระดับความสูง 0-2,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล ในประเทศไทยจะพบทุกภาคยกเว้นที่ราบลุ่มภาคกลาง ในประเทศไทยพบ 2 ชนิดย่อย คือ G. r. intermedia ที่พบในพื้นที่ภาคเหนือ และ G. r. religiosa ที่ตัวใหญ่กว่าชนิดแรก พบในพื้นที่ภาคใต้ จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "นกขุนทองควาย"
พฤติกรรม
ชอบร้องเวลาเช้าตรู่และพลบค่ำ ร้องเป็นเสียหวีดสูงตามด้วยเสียงอื่น ๆ เคลื่อนไหวบนกิ่งโดยเน้นการกระโดดข้างแทนการเดินต่างจากนกเอี้ยงทั่วไป นกขุนทองเป็นนกที่รักความสะอาดเพราะ มักชอบอาบน้ำ ไซร้ขนหรือตกแต่งขนอยู่ตลอดเวลา ชอบทำรังอยู่บริเวณโพรงไม้เก่า ๆ สูงระหว่าง 3-5 เมตร อาศัยอยู่เป็นกลุ่มประมาณ 6 ตัวขึ้นไป วางไข่ครั้งละ 2-3 ฟอง นกขุนทองกินทุกอย่างทั้งพืชและสัตว์ เช่นผลไม้, ลูกไม้, น้ำดอกไม้ และแมลงต่าง ๆ
นกขุนทองนั้นมีชื่อเสียงเรื่องเสียงร้องหลากหลายชนิด ทั้งหวีด กรีดร้อง กลั้ว ร้องเป็นทำนอง รวมถึงเลียนแบบเสียงมนุษย์ ซึ่งทำได้ทั้งตัวผู้และตัวเมีย นกหนึ่งตัวจะมีเสียงร้องตั้งแต่ 3 ถึง 13 แบบ มีการเลียนแบบเสียงร้องกันโดยเฉพาะในเพศเดียวกัน แต่รัศมีในการเรียนรู้นี้ส่วนใหญ่น้อยกว่า 15 กิโลเมตรลงไป มีความเข้าใจผิดทั่วไปว่านกขุนทองนั้นชอบเลียนแบบเสียงร้องนกพันธุ์อื่น ๆ แต่ที่จริงแล้วพฤติกรรมนี้ไม่มีโดยธรรมชาติ แต่เฉพาะในสัตว์เลี้ยงเท่านั้น



สถานภาพ
ในประเทศไทย นกขุนทองจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535





ขอบคุณข้อมูลจาก : http://th.wikipedia.org/wiki/นกขุนทอง

นกกระเรียนไทย



นกกระเรียนไทย หรือ นกเป็นนกขนาดใหญ่ที่ไม่ใช่นกอพยพ พบในบางพื้นที่ของอนุทวีปอินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และ ประเทศออสเตรเลีย เป็นนกบินได้ที่สูงที่สุดในโลก เมื่อยืนจะสูงถึง 1.8 ม. สังเกตเห็นได้ง่าย ในพื้นที่ชุ่มน้ำเปิดโล่ง นกกระเรียนไทยแตกต่างจากนกกระเรียนอื่นในพื้นที่เพราะมีสีเทาทั้งตัวและมีสีแดงที่หัวและบริเวณคอด้านบน หากินในที่ลุ่มมีน้ำขังบริเวณน้ำตื้น กินราก หัว แมลง สัตว์น้ำ และ สัตว์มีกระดูกสันหลังขนาดเล็กเป็นอาหาร นกกระเรียนไทยเหมือนกับนกกระเรียนอื่นที่มักมีคู่ตัวเดียวตลอดชีวิต นกกระเรียนจะปกป้องอาณาเขตและเกี้ยวพาราสีโดยการกางปีก ส่งเสียงร้อง กระโดดซึ่งดูคล้ายกับการเต้นรำ ในประเทศอินเดียนกกระเรียนเป็นสัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์ในชีวิตแต่งงาน เชื่อกันว่าเมื่อคู่ตายนกอีกตัวจะเศร้าโศกจนตรอมใจตายตาม ฤดูผสมพันธุ์หลักอยู่ในฤดูฝน คู่นกจะสร้างรังเป็น"เกาะ"รูปวงกลมจากกก อ้อ และ พงหญ้า มีเส้นผ่าศูนย์กลางเกือบสองเมตรและสูงเพียงพอที่จะอยู่เหนือจากน้ำรอบรัง นกกระเรียนไทยกำลังลดลงอย่างรวดเร็วในคริสต์ศตวรรษที่ผ่านมา คาดกันว่าประชากรมีเพียง 10 หรือน้อยกว่า (ประมาณ 2.5%) ของจำนวนที่มีอยู่ในคริสต์ทศวรรษ 1850 ประเทศอินเดียคือแหล่งที่มั่นของนกชนิดนี้ ที่ซึ่งนกเป็นที่เคารพและอาศัยอยู่ในพื้นที่การเกษตรใกล้กับมนุษย์ นกกระเรียนนั้นสูญหายไปจากพื้นที่การกระจายพันธุ์ในหลายๆพื้นที่ในอดีต

ลักษณะ

นกกระเรียนไทยเป็นนกขนาดใหญ่ มีลำตัวและปีกสีเทา คอตอนบนและหัวเป็นหนังเปลือยสีแดงไม่มีขน ตรงกระหม่อมเป็นสีเทาหรือเขียว คอยาวเวลาบินคอจะเหยียดตรงไม่เหมือนกับนนกกระสาซึ่งจะงอพับไปด้านหลัง ขนปลายปีกและขนคลุมขนปลายปีกสีดำ ขนคลุมขนปีกด้านล่างสีเทา ขนโคนปีกสีขาว ขายาวเป็นสีชมพู มีแผ่นขนหูสีเทา ม่านตาสีส้มแดง ปากแหลมสีดำแกมเทา นักวัยอ่อนมีปากสีค่อนข้างเหลืองที่ฐาน หัวสีน้ำตาลเทาหรือสีเนื้อปกคลุมด้วยขนนก
หนังเปลือยสีแดงบริเวณหัวจะแดงสดใสในช่วงฤดูผสมพันธุ์ หนังบริเวณนี้จะหยาบเป็นตะปุ่มตะป่ำ มีขนสีดำตรงข้างแก้มและท้ายทอยบริเวณแคบๆ ทั้งสองเพศมีลักษณะและสีคล้ายกัน เพศผู้ใหญ่กว่าเพศเมียเล็กน้อย ไม่มีความแตกต่างทางเพศอื่นที่ชัดเจนอีก นกกระเรียนไทยเพศผู้ในอินเดียมีขนาดสูงที่สุด คือประมาณ 200 ซม. ช่วงปีกยาว 250 ซม. ทำให้นกกระเรียนไทยเป็นนกที่บินได้ที่สูงที่สุดในโลก ในชนิดย่อย antigone มีน้ำหนัก 6.8–7.8 กก. ขณะที่ sharpii มีน้ำหนักประมาณ 8.4 กก. โดยทั่วไปแล้วจะมีน้ำหนัก 5-12 กก. สูง 115-167 ซม.ช่วงปีกยาว 220-280 ซม. นกจากประเทศออสเตรเลียจะมีขนาดเล็กกว่านกจากเขตทางเหนือ
ในประเทศออสเตรเสีย นกกระเรียนไทยมักจะสับสนกับนกกระเรียนประเทศออสเตรเลีย สีแดงบนหัวของนกกระเรียนออสเตรเลียจะมีแค่บนหัวไม่แผ่ลงมาถึงคอ

การขยายพันธุ์และถิ่นอาศัย    
 

           ในอดีต นกกระเรียนไทยมีการกระจายพันธุ์เป็นวงกว้างบนพื้นที่ราบลุ่มในประเทศอินเดียยาวตลอดแม่น้ำคงคา ทางใต้ไปถึงแม่น้ำโคทาวารี (Godavari) ทางตะวันตกไปถึงชายฝั่งรัฐครุชาต เขตธาร์พาร์คาร์ (Tharparkar) ของประเทศปากีสถาน และทางตะวันออกถึงรัฐเบงกอตะวันตกและรัฐอัสสัม ไม่พบการขยายพันธุ์ในแคว้นปัญจาบมานานแล้ว แม้ว่าจะพบบ้างประปรายในฝั่งอินเดียในฤดูหนาว นกกระเรียนหาพบได้ยากและมีจำนวนน้อยมากในรัฐเบงกอลตะวันตกและรัฐอัสสัม และไม่พบมานานแล้วในรัฐพิหาร ในประเทศเนปาล การกระจายพันธุ์จำกัดอยู่เพียงที่ราบลุ่มฝั่งตะวันตก ประชากรส่วนมากอยู่ในเขตรูปันเทหี (Rupandehi) กบิลพัสดุ์ (Kapilvastu) และนวัลปราสี (Nawalparasi)มีประชากรสองกลุ่มในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่แตกต่างกันคือ ประชากรตอนเหนืออยู่ในประเทศจีนและพม่า และประชากรตอนใต้อยู่ในกัมพูชาและเวียดนาม นอกจากนั้น ยังเคยพบในประเทศไทยและทางตะวันออกของประเทศฟิลิปปินส์แต่ในทั้งสองประเทศสูญพันธุ์ไปแล้วจากธรรมชาติ ในประเทศออสเตรเลียพบในบริเวณด้านเหนือของประเทศ และมีการอพยพไปยังบางพื้นที่ พิสัยการกระจายพันธุ์ของนกกระเรียนไทยกำลังลดลงและพื้นที่ๆเกิดมากที่สุดคือประเทศอินเดียซึ่งพื้นที่ลุ่มน้ำขนาดใหญ่ถูกทำลาย นกเหล่านี้จึงต้องอาศัยในนาข้าวในการเพิ่มจำนวน แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วจะพบนกกระเรียนในที่ราบลุ่ม แต่ก็มีรายงานว่าพบบนที่ราบสูงทางเหนือใน ฮาร์กิต ซาร์ (Harkit Sar) และ คาฮัง (Kahag) ในรัฐแคชเมียร์ นอกการนี้นกกระเรียนยังขยายพันธุ์ในพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลมากๆ เช่น ใกล้กับ พงดัม (Pong Dam) ในรัฐหิมาจัลประเทศ (Himachal Pradesh) ที่ซึ่งประชากรนกกระเรียนอาจจะเพิ่มขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของการเพาะปลูกข้าวตามแหล่งกักเก็บน้ำนกกระเรียนมักอาศัยอยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำ หรือนาข้าวที่ไม่ได้เพราะปลูกที่มีน้ำท่วมขัง (ในพื้นที่เรียกว่า khet-taavadi) สำหรับสร้างรัง การจับคู่ผสมพันธุ์มักจะเกิดในพื้นที่ชุ่มน้ำตามธรรมชาติมากกว่าแต่ก็ยังมีในนาข้าวหรือข้าวสาลีบ่อยๆ                                                                        
มีประชากรสองกลุ่มในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่แตกต่างกันคือ ประชากรตอนเหนืออยู่ในประเทศจีนและพม่า และประชากรตอนใต้อยู่ในกัมพูชาและเวียดนาม นอกจากนั้น ยังเคยพบในประเทศไทยและทางตะวันออกของประเทศฟิลิปปินส์แต่ในทั้งสองประเทศสูญพันธุ์ไปแล้วจากธรรมชาติ ในประเทศออสเตรเลียพบในบริเวณด้านเหนือของประเทศ และมีการอพยพไปยังบางพื้นที่ พิสัยการกระจายพันธุ์ของนกกระเรียนไทยกำลังลดลงและพื้นที่ๆเกิดมากที่สุดคือประเทศอินเดียซึ่งพื้นที่ลุ่มน้ำขนาดใหญ่ถูกทำลาย นกเหล่านี้จึงต้องอาศัยในนาข้าวในการเพิ่มจำนวน แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วจะพบนกกระเรียนในที่ราบลุ่ม แต่ก็มีรายงานว่าพบบนที่ราบสูงทางเหนือใน ฮาร์กิต ซาร์ (Harkit Sar) และ คาฮัง (Kahag) ในรัฐแคชเมียร์ นอกการนี้นกกระเรียนยังขยายพันธุ์ในพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลมากๆ เช่น ใกล้กับ พงดัม (Pong Dam) ในรัฐหิมาจัลประเทศ (Himachal Pradesh) ที่ซึ่งประชากรนกกระเรียนอาจจะเพิ่มขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของการเพาะปลูกข้าวตามแหล่งกักเก็บน้ำ
นกกระเรียนมักอาศัยอยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำ หรือนาข้าวที่ไม่ได้เพราะปลูกที่มีน้ำท่วมขัง (ในพื้นที่เรียกว่า khet-taavadi) สำหรับสร้างรัง การจับคู่ผสมพันธุ์มักจะเกิดในพื้นที่ชุ่มน้ำตามธรรมชาติมากกว่าแต่ก็ยังมีในนาข้าวหรือข้าวสาลีบ่อยๆ                                                                        
มีประชากรสองกลุ่มในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่แตกต่างกันคือ ประชากรตอนเหนืออยู่ในประเทศจีนและพม่า และประชากรตอนใต้อยู่ในกัมพูชาและเวียดนาม นอกจากนั้น ยังเคยพบในประเทศไทยและทางตะวันออกของประเทศฟิลิปปินส์แต่ในทั้งสองประเทศสูญพันธุ์ไปแล้วจากธรรมชาติ ในประเทศออสเตรเลียพบในบริเวณด้านเหนือของประเทศ และมีการอพยพไปยังบางพื้นที่ พิสัยการกระจายพันธุ์ของนกกระเรียนไทยกำลังลดลงและพื้นที่ๆเกิดมากที่สุดคือประเทศอินเดียซึ่งพื้นที่ลุ่มน้ำขนาดใหญ่ถูก
ทำลาย นกเหล่านี้จึงต้องอาศัยในนาข้าวในการเพิ่มจำนวน แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วจะพบนกกระเรียนในที่ราบลุ่ม แต่ก็มีรายงานว่าพบบนที่ราบสูงทางเหนือใน ฮาร์กิต ซาร์ (Harkit Sar) และ คาฮัง (Kahag) ในรัฐแคชเมียร์ นอกการนี้นกกระเรียนยังขยายพันธุ์ในพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลมากๆ เช่น ใกล้กับ พงดัม (Pong Dam) ในรัฐหิมาจัลประเทศ (Himachal Pradesh) ที่ซึ่งประชากรนกกระเรียนอาจจะเพิ่มขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของการเพาะปลูกข้าวตามแหล่งกักเก็บน้ำนกกระเรียนมักอาศัยอยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำ หรือนาข้าวที่ไม่ได้เพราะปลูกที่มีน้ำท่วมขัง (ในพื้นที่เรียกว่า khet-taavadi) สำหรับสร้างรัง การจับคู่ผสมพันธุ์มักจะเกิดในพื้นที่ชุ่มน้ำตามธรรมชาติมากกว่าแต่ก็ยังมีในนาข้าวหรือข้าวสาลีบ่อยๆ                   

การกินอาหาร

                 นกกระเรียนไทยหากินในน้ำตื้น (ปกติน้ำลึกน้อยกว่า 30 ซม.) หรือในทุ่งหญ้า บ่อยครั้งพบนกกระเรียนแหย่ปากหากินในปลักโคลน มันเป็นสัตว์กินได้ทั้งพืชและสัตว์ เช่น แมลง (โดยเฉพาะตั๊กแตน) พืชน้ำ ปลา (อาจแค่เฉพาะในกรงเลี้ยง) กบ สัตว์น้ำที่มีเปลือกแข็ง และเมล็ดพืช บางครั้งก็เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังขนาดใหญ่ เช่น งูน้ำ  มีบางกรณีที่พบได้ยากที่นกกระเรียนไทยกินไข่ของนกอื่นและเต่า ส่วนพืชก็อย่างเช่น พืชมีหัว หัวของพืชน้ำ หน่อหญ้า เมล็ดพืช และเมล็ดจากพืชที่เพาะปลูกเช่นถั่วลิสงและธัญพืชเช่นข้าว             



  ในประเทศไทย เรื่องของนกกระเรียนปรากฏอยู่ใน"เล่าเรื่องกรุงสยาม"ของสังฆราชปาเลอกัวซ์ และ "ลานนกกระเรียน " ของสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ นอกจากนั้นยังปรากฏอยู่ในกาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดงของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์      

ขอขอบคุณข้อมูลจาก :    http://th.wikipedia.org/wiki/นกกระเรียนไทย     

วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556

     คำชี้แจง จงตอบคำถามต่อไปนี้

1.ให้นิสิตยกตัวอย่างอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีสารสรเทศตรมหัวข้อต่อไปนี้ อย่างน้อยหัวข้ออย่างละ 3 ชนิดแล้วแลกเปลี่ยนกันตรวจกับเพื่อน

1)  การบันทึกและจัดเก็บข้อมูล

     ดาวเทียมถ่ายภายทางดาวเทียม
     เทปแม่เหล็ก
     บัตร ATM

2) การแสดงผล

    เครื่องพิมพ์
    จอภาพ
     พลอตเตอร์

3) การประมาลผล

    การคำนวณ
    การแยกแยะ
    การรวบรวมข้อมูล

4) การสื่อสารและเครือข่าย

    โทรทัศน์
     วิทยุ
     โทรศัพท์


1 .ให้นิสิตนำตัวเลขในช่องขวา มาเติมหน้าข้อความในช้องซ้ายที่มีึวามสัมพันธ์กัน



…3..ซอฟต์แวประยุกต์
1.ส่วนใหญ่ใช้ทำหน้าที่คำนวณ ประมวลผลข้อมูล
…10..Information Technology
2.e-Revenue
….8.คอมพิวเตอร์ในยุคประมวลผลข้อมูล
3.เทคโนโลยีต่างๆ ที่นำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินการเกี่ยวกับสารสนเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความถูกต้องแม่นยำ และความรวดเร็วต่อการนำไปใช้
…4..เทคโนโลยีสารสนเทศ ประกอบด้วย
4.มีองค์ประกอบพื้นฐาน 3 ส่วน ได้แก่ Sender Medium และ Decoder
…1..ช่วยเพิ่มผลผลิต เพิ่มต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
5.การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการรับ-ส่งเอกสารจากหน่วยงานหนึ่งไปยังอีกหน่วยงานหนึ่งโดยส่งผ่านเครือข่าย
…7..ซอฟต์แวร์ระบบ
6.เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคมและเทคโนโลยีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
…9..การนำเสนอบทเรียนในรูปมัลติมิเดียที่ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ตามระดับความสามารถ
7.โปรแกรมที่ทำหน้าที่ใช้ควบคุมอุปกรณ์ต่างๆภายในระบบคอมพิวเตอร์
…5..EDI
8.โปรแกรมระบบห้องสมุดอัตโนมัติ จัดเป็นซอฟต์แวร์ประเภท
…6..การสื่อสารโทรคมนาคม

9.CAI
…2..บริการชำระภาษีออนไลน์
10.ลักษณะสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ

คำชี้แจง  จงตอบคำถามต่อไปนี้
1.ให้นิสิตหารายชื่อเว็บไซต์หรือเทคโนโลยีที่ให้บริการต่างๆ ตามหัวข้อเหล่านี้มาอย่างละ 3 รายการ

     1.1 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในสาขาการศึกษา

     1.2การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพธุรกิจ พาณิชย์ และสำนักงาน

     1.3การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพการสื่อสารมวลชน

     1.4การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพทางอุสาหกรรม


    1.5การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพทางการแพทย์

http://www.dmsc.moph.go.th
http://www.niems.go.th
http://www.worldcommunitygrid.org 

    1.6 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพทหารตำรวจ

http://www.rtsd.mi.th
http://www.navy.mi.th
http://www.rtaf.mi.th

    1.7 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพวิศวกรรม

http://www.coe.or.th 
http://www.tumcivil.com
http://www.thaiengineering.com

    1.8การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพด้านเกษตรกรรม

http://www.doae.go.th
http://www.bangsaiagro.com
http://www.thaigreenagro.com 

    1.9การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับคนพิการต่างๆ

2.มหาวิทยาลัยมหาสารคามเตรียมเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการศึกษาให้กับท่านมีอะไรบ้าง บอกมา
อย่างน้อย 3 อย่าง

 1, อินเทอร์เน็ตที่สามารถหาข้อมูล ได้อย่างสดวก
2. คอมพิวเตอร์  ที่ค้นหาข้อมูลทางการศึกษา
3. โปรเจคเตอร์ ที่ ที่ล้ำหน้าทันสมัยกว่าที่อื่น

3 ข้อ 2 จงวิเคราะห์ว่าท่านจะเอาเทคโนโลยีเหล่านั้น มาทำให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองอย่างไรบ้าง

1.ประหยัดในการทำงาน
2,สดวกในการดูหรือชม
3.ส่งงานได้ทันเวลาที่กำหนด
4.มีเวลาที่จะไปทำงานอื่นได้เพิ่มมากขึ้น
5.เอาไว้ติดต่อสื่อสารกับคนที่อยู่อีกที่หนึ่งได้
6.ไม่ติดขัดในการทามงาน


 ไก่ชน
  มีประวัติเล่าขานกันมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ( 356-323ปี ก่อนคริสตกาล ) ซึ่งเป็นจอมจักรพรรดิของกรีก ได้กวีธาทัพแผ่อิทธิพลขยายอาณาจักรเข้ามายังประเทศอินเดีย มีเรื่องเล่ากันว่าแม่ทัพนายกองได้เห็น การชนไก่ ที่อินเดีย จึงนำไก่ชน ไปขยายพันธุ์ ณ เมืองอเล็กซานเดรีย ซึ่งอยู่ริมฝั่งทะเลเมดิเดอร์เรเนียน หลังจากนั้นได้นำไก่ที่ขยายพันธุ์ได้ไปฝึกให้มีชั้นเชิงการต่อสู้แบบโรมัน เพื่อนำไปต่อสู้ในสนามโคลีเซียม
    เมื่ออังกฤษปกครองอินเดียได้นำ ไก่ชน จากอินเดียเข้าไปเผยแพร่ในอังกฟษ โดยยอมรับว่า กีฬาไก่ชน เป็นเกมกีฬาที่ควรได้รับความนิยมจากไก่ชนในเอเซีย
   กีฬา ไก่ชน หรือ ตีไก่ ได้รับความนิยมอย่างแพรหลายในประเทศแถบเอเชีย เช่น ไทย ลาว เขมร มาเลเชีย ฟิลอปปินส์ และอินโดนีเซีย การชนไก่ ในแถบเอเซียมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน และเชื่อว่าไก่ชน มีพัฒนาการมาจาก ไก่ป่า ซึ่งมนุษย์นำมาเลี้ยงไว้เพื่อเป็นอาหารประจำบ้าน เมื่อ ไก่ป่ามาอยู่กับคนนาานเข้า ก็ขยายพันธุ์เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก นิสัยประจำตัวของได่คือไก่คือหวงถิ่นที่อยู่ ถ้ามีไก่ตัวอื่นๆข้ามถิ่นเข้ามาก็จะออกปกป้องที่อยู่อาศัยหรือเมือมีการแย่งผสมพันธุ์กับตัวเมีย ไก่ตัวผู้ก็จะตีกัน ซึ่งทำให้เกิดการถือหางกันระหว่างเจ้าของไก่ และด้วยนิสัยของนักพนันจึงทำให้มีการแข่งขันกันการพัฒนาสายพันธุ์ของ ไก่ป่า จึงมีวิวัฒนาการเรื่อยมา


นกกรงหัวจุก

       ผู้เลี้ยงนกกรงหังจุกต้องเอาใจใส่ดูแลนกด้วยตนเอง และต้องสังเกตกิริยา อาการ ท่าทางของนกแต่ละวัน เมื่อนกมีปัญหา ไม่สบายหรือแสดงอาการผิดปกติ จะได้แก้ไขได้ทันท่าวที ซึ่งการดูแลนกกรงหัวจุกในแต่ละวันมีขั้นตอน ดังนี้
   
       อาหาร ในตอนเช้า เปิดผ้าคลุมกรงนกออก แล้วเปลี่ยนอาการให้นกกินใหม่ โดยการผ่ากล้วยน้ำว้าสุก มะละกอสุก มะเขือเทศสุก ลูกตำลึงสุก แตงกวา บวบ ออกเป็นครึ่งลูกหรือทำเป็นชินๆ ถ้าเป็นลูกตำลึงสุกก็ให้ทั้งลูกได้เลย การให้อาหารควรจะสลับกันไปวันละ 2 ชนิดเพื่อกันไม่ให้นกเบื่ออาหาร สำหรับอาหารเม็ดก็ใส่ไว้ในถ้วยอาหาร อาจจะไม่ต้องให้ทุกวัน
   
        ให้สังเกตขี้นก  ในตอนเช้า เมื่อเปิดกรงนกกรงหัวจุก ให้สังเกตุขี้นก หวกขี้เป็นแบบขี้จิ้งจก คือเป็นเม็ดสีขาวดำ แสดง ว่านกเป็นปกติ แต่ถ้าขี้นกเป็น ขี้เหลวหรือขี้เป็นน้ำ แสดงว่านกเป็นโรคต้องรีบรักษาทันที


    น้ำ ให้เอาน้ำ เก่าทิ้งไป แล้วเอาน้ำใหม่ใส่ให้เกือบเต็มถ้วย เพราะน้ำเก่าอาจจะสกปรก

    นำนกกรงหัวจุกไปตากแดด ในตอนเช้า ผู้เลี้ยงนกกรงหัวจุกจะต้องรู้วิธีการกรงนกไปแขวน โดยมีวิธีการยกคือ มือหนึ่งจะต้องปิ้วที่ตะขอกรงนก เมื่อไปถึงชายคาบ้าน หรือราวที่จะแขวนกรงนก หรือกิ่งไม้ หรือราวที่ฝึกซ้อมและราวที่จะแขวนนกประกวดแข่งขันแล้ว ก็ใช้มือข้างที่ถนัดจับที่มุมใดมุมหนึ่งที่เป็นเสากรง ห้ามจับที่ซี่ลูกกรง เพราะซี่ลูกกรงจะบอบบางไม่แข็งแรงและหักได้ จากนั้นก็ยกกรงนกขึ้นชู โดยดูที่ตะขอแขวนนกว่าตรงกับที่แขวนหรือราวแล้วหรือยัง ถ้าตรงกับที่แขวนและราวแล้ว ก็ให้ปล่อยมือลง ข้อควรระวัง อย่าแขวนนกที่มีอายุน้อยใกล้กับนกที่มีอายุมาก ซึ่งนกที่มีอายุมากจะข่มขู่นกที่มีอายุน้อยกว่า เพพราะนกสามารถจะจำเสียงได้ และจะตื่นกลัว การที่น่านกไปแขวนไว้นี้ เพื่อนกได้กระโดดไปมาออกกำลังกายและเพื่อให้นกร้อง จนถึงตอนบ่าย จึงจะเก็บนกไว้ในที่ร่มต่อไป ถ้าเป็นลูกนกและนกหนุ่ม ค่อยๆๆเพิ่มเวลาแขวนตากแดดวันละ 1 ชั่วโมง เป็นวันละ 2  ชั่วโมง และตากแดดได้นานซึ่งจนนกเคยชิน

 เก็บนกไว้ที่ร่ม  หลังจากให้นกตากแดด ตั้งแต่ตอนเช้าจนถึงตอนบ่าย ก็ให้เก็บนกและกรงนกไว้ที่ร่ม ให้ทำความสะอาดกรง และอื่นๆ ดังนี้ ทำความสะอาดกรงนก โดยเปลี่ยนตัวนกกรงหัวจุกไปไว้กรงอื่น เป็นการสอนนกไม่ให้เลือกกรงและเคยชินต่อการเปลี่ยนกรง จากนั้นก็ให้ทำความสะอาดกรงนกที่เห็นว่าสกปรก ถ้ากรงนกสะอาดดีแล้วก็ไม่ต้องทำความสะอาด ทำความสะอาดตะขอที่เกี่ยวอาหาร ทำความสะอาดถ้วยน้ำ ทำความสะอาดถ้วยใส่อาหารเม็ด ล้างถาดรองขี้นกใต้กรง ให้อาหารและนำนกเหมือนเดิม ฝห้นกอาบน้ำ เมื่อนำนกไปเก็บไว้ในที่ร่ม ก็ให้นำกล่องพลาติกหรือขันอาบน้ำไว้ในกรง